ไวรัสตับอักเสบซี รู้ทันโรคร้าย ก่อนลุกลาม

ไวรัสตับอักเสบซี รู้ทันโรคร้ายก่อนลุกลาม

ไวรัสตับอักเสบซี เป็นหนึ่งในโรคติดเชื้อไวรัสที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ตับ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะ ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ ได้ โรคนี้มักไม่มีอาการที่ชัดเจนในระยะแรก ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองติดเชื้อ จึงเป็นอันตราย และจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม ฉะนั้นการทำความรู้จักกับ ไวรัสตับอักเสบซี ตั้งแต่สาเหตุของโรค อาการ วิธีแพร่เชื้อ วิธีป้องกัน และแนวทางการรักษา เพื่อให้คุณสามารถดูแลสุขภาพของตัวเอง และป้องกันโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไวรัสตับอักเสบซี รู้ทันโรคร้าย ก่อนลุกลาม

ไวรัสตับอักเสบซี คืออะไร?

Love2test

ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus – HCV) เป็นไวรัสที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบของตับ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับในระยะยาว โรคนี้สามารถติดต่อได้ผ่านทางเลือดเป็นหลัก และพบได้ในผู้ที่ได้รับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส

ไวรัสตับอักเสบซีแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่

  • การติดเชื้อแบบเฉียบพลัน (Acute Hepatitis C)
    • เกิดขึ้นภายใน 6 เดือนแรกหลังได้รับเชื้อ
    • ผู้ติดเชื้อบางรายสามารถกำจัดเชื้อได้เองโดยที่ไม่ต้องรับการรักษา
    • ประมาณ 15-25% ของผู้ติดเชื้อสามารถหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
  • การติดเชื้อแบบเรื้อรัง (Chronic Hepatitis C)
    • ส่วนใหญ่ (ประมาณ 75-85% ของผู้ติดเชื้อ) จะพัฒนาเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง
    • อาจนำไปสู่ภาวะ ตับแข็ง (Cirrhosis) และ มะเร็งตับ (Liver Cancer) ได้หากไม่ได้รับการรักษา

สาเหตุของไวรัสตับอักเสบซี

Love2test

ไวรัสตับอักเสบซีติดต่อผ่านทาง เลือดที่ปนเปื้อนเชื้อ และสามารถเข้าสู่ร่างกายได้จากหลายปัจจัย เช่น

  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน – โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด (Injecting Drug Users)
  • การรับเลือดที่ไม่ได้ผ่านการตรวจหาเชื้อ (แม้ว่าในปัจจุบันจะมีมาตรการตรวจคัดกรองอย่างเข้มงวดแล้ว)
  • การใช้เครื่องมือสักหรือเจาะร่างกายที่ไม่สะอาด
  • การใช้มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ หรือแปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น
  • การมีเพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การมีคู่นอนหลายคนโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย (พบได้แต่น้อย)
  • การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกในขณะคลอด (แม้โอกาสเกิดจะต่ำกว่าการติดเชื้อ HIV)

อาการของไวรัสตับอักเสบซี

ระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมักไม่มีอาการชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ จนกว่าตับจะได้รับความเสียหายไปมากแล้ว

  • อาการที่อาจพบในระยะเฉียบพลัน (2-12 สัปดาห์หลังติดเชื้อ)
    • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
    • ปวดกล้ามเนื้อ และข้อต่อ
    • คลื่นไส้ อาเจียน หรือเบื่ออาหาร
    • ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณชายโครงด้านขวา
    • ตาเหลือง ตัวเหลือง (ดีซ่าน)
    • ปัสสาวะสีเข้ม และอุจจาระสีอ่อน
  • อาการที่อาจพบในระยะเรื้อรัง
    • อ่อนเพลียเรื้อรัง
    • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
    • ตับโต หรือมีอาการบวมที่ท้อง และขา
    • มีเส้นเลือดขยายผิดปกติบนผิวหนัง (Spider Angiomas)
    • ลือดออกง่าย ฟกช้ำง่าย

หมายเหตุ: อาการเหล่านี้มักปรากฏเมื่อเชื้อไวรัสทำลายตับไปมากแล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลที่การตรวจหาเชื้อล่วงหน้ามีความสำคัญมาก

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบซี

หากคุณสงสัยว่ามีความเสี่ยงในการติดเชื้อ HCV ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพโดยเฉพาะการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ดังนี้

  • Anti-HCV Test – ตรวจหาแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อ HCV
  • HCV RNA Test (PCR Test) – ตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสในกระแสเลือด ซึ่งช่วยยืนยันว่ามีการติดเชื้ออยู่จริง
  • Liver Function Test (LFTs) – ตรวจการทำงานของตับ เพื่อดูว่าตับถูกทำลายไปมากแค่ไหน
  • Fibroscan หรือ Ultrasound – ใช้ประเมินระดับความเสียหายของตับ
การวินิจฉัย ไวรัสตับอักเสบซี

การรักษาไวรัสตับอักเสบซี

ในอดีต การรักษาไวรัสตับอักเสบซีเป็นเรื่องยาก และต้องใช้ยาฉีดอินเตอร์เฟอรอน (Interferon) ร่วมกับยารับประทาน ซึ่งมักมีผลข้างเคียงรุนแรง และต้องใช้เวลารักษานานหลายเดือนถึงปี แต่ปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ยาต้านไวรัสโดยตรง (Direct-Acting Antivirals – DAAs) ได้กลายเป็นแนวทางการรักษาหลัก ซึ่งสามารถกำจัดไวรัสออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาอันสั้น

  • ยาต้านไวรัสโดยตรง (Direct-Acting Antivirals – DAAs) ยาต้านไวรัส DAAs เป็นยาที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อไวรัสตับอักเสบซี ช่วยหยุดยั้งกระบวนการแบ่งตัวของไวรัส ทำให้เชื้อหมดไปจากร่างกายอย่างถาวร ภายใน 8-12 สัปดาห์
    •  ประโยชน์ของยาต้านไวรัส DAAs
      • อัตราการรักษาหายสูงถึง 95-99%
      • ผลข้างเคียงน้อยกว่ายาในอดีต
      • ใช้ระยะเวลาสั้น เพียง 8-12 สัปดาห์
      • ไม่ต้องใช้ยาฉีด (ต่างจากการรักษาด้วยอินเตอร์เฟอรอนในอดีต)
    • ตัวอย่างยาต้านไวรัส DAAs ที่ใช้บ่อย
      • Sofosbuvir + Ledipasvir (Harvoni) ใช้รักษาไวรัสตับอักเสบซีชนิดที่ 1, 4, 5 และ 6 รับประทานวันละ 1 เม็ด เป็นเวลา 8-12 สัปดาห์ มีประสิทธิภาพสูงในผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนทางตับ
      • Sofosbuvir + Velpatasvir (Epclusa) ใช้รักษาไวรัสตับอักเสบซีได้ทุกสายพันธุ์ (Genotype 1-6) รับประทานวันละ 1 เม็ด เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ใช้ได้กับผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งระยะต้น
      • Glecaprevir + Pibrentasvir (Mavyret) ใช้รักษาไวรัสตับอักเสบซีทุกสายพันธุ์ (Genotype 1-6) ใช้ได้แม้ในผู้ที่มีภาวะตับแข็ง รับประทาน วันละ 3 เม็ด เป็นเวลา 8-12 สัปดาห์
      • Sofosbuvir + Daclatasvir เป็นอีกหนึ่งสูตรยาที่ใช้ได้ผลดีในหลายสายพันธุ์ของ HCV ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะตับแข็งหรือผู้ที่มีอาการซับซ้อนอื่น ๆ
  • การรักษาแบบเสริมเพื่อดูแลสุขภาพตับ นอกจากการใช้ยาต้านไวรัสแล้ว ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีควรดูแลสุขภาพของตับอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันภาวะตับแข็ง และมะเร็งตับ
    • แนวทางดูแลตับระหว่าง และหลังการรักษา
      • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ และสารพิษต่อตับ – การดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้ตับเสื่อมเร็วขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะตับแข็ง
      • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ – เพิ่มผัก ผลไม้ และอาหารที่มีเส้นใยสูง หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง 
      • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ – เพื่อช่วยลดไขมันพอกตับ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
      • รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ และบี – เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอื่น ๆ ที่อาจทำให้ตับอักเสบแย่ลง
      • เข้ารับการตรวจติดตามสุขภาพตับ – แพทย์อาจนัดตรวจเลือด และอัลตราซาวด์เพื่อติดตามสุขภาพตับทุก 6-12 เดือน
  • การรักษาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น หากโรคไวรัสตับอักเสบซีลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ ผู้ป่วยอาจต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติม เช่น
    • การปลูกถ่ายตับ (Liver Transplant) – ในกรณีที่ตับได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง
    • การรักษามะเร็งตับ – เช่น การทำเคมีบำบัด หรือการฉายรังสี หากมีการพัฒนาของมะเร็งตับ

ผลข้างเคียงของการรักษาไวรัสตับอักเสบซี

แม้ว่ายา DAAs จะมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาในอดีต แต่ก็ยังอาจมีอาการบางอย่างที่พบได้ เช่น:

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
  • ปวดศีรษะ
  • คลื่นไส้ หรือมีอาการทางเดินอาหาร
  • อาการปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดข้อ
  • ผื่นหรืออาการแพ้ยา (พบได้น้อย)

หมายเหตุ: ผลข้างเคียงเหล่านี้มักเป็นเพียงเล็กน้อย และจะค่อย ๆ หายไปเมื่อสิ้นสุดการรักษา

การป้องกัน ไวรัสตับอักเสบซี

การป้องกันไวรัสตับอักเสบซี

แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซี (HCV) แต่มีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดการสัมผัสเชื้อไวรัสโดยตรง การป้องกันแบ่งออกเป็น การป้องกันเชิงพฤติกรรม และ การป้องกันทางการแพทย์

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดหรือของเหลวที่ปนเปื้อนเชื้อ HCV ไวรัสตับอักเสบซีติดต่อผ่านทางเลือดเป็นหลัก ดังนั้นควรป้องกันการสัมผัสเลือดโดยตรง เช่น
    • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน – เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญอันดับต้น ๆ ของการแพร่กระจายของไวรัสตับอักเสบซีในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด
    • ไม่ใช้ของมีคมร่วมกัน – เช่น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ หรือแปรงสีฟัน ที่อาจมีเลือดปนเปื้อน
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดโดยตรง – หากต้องดูแลผู้ป่วยที่มีเลือดออก ควรใช้ถุงมือ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือด
  • ป้องกันการแพร่กระจายผ่านกิจกรรมทางเพศ แม้ว่าการแพร่เชื้อไวรัสตับอักเสบซีผ่านทางเพศสัมพันธ์จะเกิดได้น้อยกว่าการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน แต่ยังคงมีความเสี่ยง โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงสูง เช่น กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) หรือผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
    • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ – โดยเฉพาะในกรณีที่มีบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศ หรือมีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
    • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่รุนแรง – ที่อาจทำให้เกิดแผล และเพิ่มโอกาสสัมผัสเลือด
    • ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ – สำหรับผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
  • ป้องกันการติดเชื้อผ่านการสัก การเจาะ และการรักษาทางการแพทย์
    • เลือกสถานที่สัก และเจาะที่ปลอดภัย – ใช้อุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกต้อง
    • ตรวจสอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ – หลีกเลี่ยงการฉีดยาหรือรับบริการทางการแพทย์จากสถานที่ที่ไม่ได้มาตรฐาน
    • บุคลากรทางการแพทย์ควรใช้มาตรการป้องกันการติดเชื้อ – เช่น การใช้ถุงมือ และการกำจัดเข็มที่ใช้แล้วอย่างเหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาเสพติด และเข็มฉีดยาร่วมกัน
    • หากใช้ยาเสพติด ควรเข้ารับโปรแกรมบำบัด – การลดหรือเลิกใช้ยาเสพติดสามารถลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HCV ได้
    • เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนเข็มสะอาด – สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเลิกใช้ยาเสพติดได้ โครงการนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้เข็มร่วมกัน
    • รับคำปรึกษา และการรักษา – ศูนย์บำบัดยาเสพติดสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับทางเลือกที่ปลอดภัย
  • ตรวจสุขภาพและตรวจคัดกรอง HCV อย่างสม่ำเสมอ
    • กลุ่มที่ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นประจำ:
      • ผู้ที่เคยใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
      • ผู้ที่ได้รับการถ่ายเลือดก่อนปี 1992
      • บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเสี่ยงสัมผัสเลือด
      • ผู้ที่มีคู่นอนหรือสมาชิกในครอบครัวที่ติดเชื้อ HCV
    • ตรวจคัดกรองโรคตับเป็นระยะ – โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติไวรัสตับอักเสบหรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ และบี แม้ว่า ยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบซี แต่สามารถรับ วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) และไวรัสตับอักเสบบี (HBV) เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อร่วมกัน ซึ่งอาจทำให้ตับเสียหายมากขึ้น
    • วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A Vaccine) – ป้องกันการติดเชื้อจากอาหาร และน้ำที่ปนเปื้อน
    • วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Vaccine) – ป้องกันการติดเชื้อจากการสัมผัสเลือด และของเหลวในร่างกาย
  • การให้ความรู้และสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน
    • เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบซีในโรงเรียน และชุมชน – เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยงและวิธีป้องกัน
    • จัดอบรม และให้คำปรึกษาในกลุ่มเสี่ยง – เช่น ผู้ใช้ยาเสพติดทางเส้นเลือด กลุ่มที่มีพฤติกรรมทางเพศเสี่ยงสูง
    • สนับสนุนให้ผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษา – การลดจำนวนผู้ติดเชื้อสามารถลดการแพร่กระจายของโรคได้

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

ไวรัสตับอักเสบซีเป็นโรคที่ สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับการวินิจฉัย และรักษาอย่างถูกต้อง ผู้ที่มีความเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจคัดกรองเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง หากพบว่าติดเชื้อควรเริ่มการรักษาทันที และดูแลสุขภาพตับเพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต

Similar Posts