โรคหูดข้าวสุก ติดต่อง่าย แต่ก็รักษาได้
โรคหูดข้าวสุก เป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยซึ่งเกิดจากไวรัส โดยทั่วไปจะไม่เป็นอันตรายและจะหายไปเองในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง แม้ว่าอาจใช้เวลานานถึง 2 ปีก็ตาม ในบางคน เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี สามารถแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย และเชื้อโรคจะคงอยู่ได้นานกว่าคนปกติ การแพร่เชื้อที่พบบ่อยที่สุดสำหรับผู้ใหญ่ จะผ่านการมีเพศสัมพันธ์ เพราะจะพบโรคหูดข้าวสุกที่บริเวณอวัยวะเพศ จึงถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง
สาเหตุโรคหูดข้าวสุก
สาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสมอลลัสคุม คอนทาจิโอซุม (Molluscum Contagiosum Virus) เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่อยู่ในกลุ่มพอกซ์ไวรัส (Poxvirus) มักเกิดขึ้นบริเวณชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ที่เป็นผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น โดยมีการแพร่เชื้อผ่านการสัมผัสโดนบริเวณที่มีเชื้อโดยตรง หรือสิ่งของที่มีการปนเปื้อน รวมไปถึงการสัมผัสถูกเชื้อขณะมีเพศสัมพันธ์
อาการโรคหูดข้าวสุก
- พบตุ่มบริเวณผิวหนังเป็นตุ่มเดี่ยว ๆ หรืออยู่กระจุกเป็นกลุ่ม เริ่มจากมีจุดสีแดง ต่อมาเป็นตุ่มเล็กๆ สีแดง
- ตุ่มมีขนาดเล็กประมาณ 2-5 มิลลิเมตร ผิวสัมผัสมีความเงา แวววาว และเรียบ มีสีเนื้อเช่นเดียวกับผิวหนัง มีสีขาวหรือชมพู
- อาจมีตุ่มคล้ายมีสารสีขาวอยู่ภายใน โดยลักษณะเป็นรูปทรงโดม หรือมีรอยบุ๋มตรงกลาง คล้ายเม็ดสิวแต่ไม่มีการอักเสบ เวลาบีบออกจะได้สารสีขาวข้น
- มีอาการคัน เจ็บ และอักเสบ โดยเฉพาะเมื่อเกา
- สามารถเกิดได้ทุกที่บนร่างกาย ยกเว้นบริเวณฝ่ามือ หรือฝ่าเท้า มักพบบริเวณใบหน้า ท้อง ลำตัว แขน ขา อวัยวะเพศ ต้นขาด้านใน
- ในผู้ป่วยโรคเอดส์ ปริมาณของหูดฯจะเกิดมากกว่าในคนที่ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคปกติ และมักดื้อต่อการรักษา
- โดยปกติ (คนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคปกติ) โรคดข้าวสุกนั้น สามารถหายได้เองแม้ไม่ได้ทำการรักษาที่ระยะเวลาประมาณ 2-9 เดือน มีส่วนน้อยมากที่อาศัยเวลา 2-3 ปีจึงหาย
การรักษาโรคหูดข้าวสุก
สามารถรักษาได้หลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ดังนี้
- รักษาด้วยความเย็น ในการจี้หูดด้วยการใช้ไนโตรเจนเหลว (Liquid Nitrogen)
- รักษาด้วยเลเซอร์ แพทย์จะใช้เลเซอร์ในการจี้หูด
- รักษาด้วยโดยการใช้ยา เป็นยาที่มีกรดในการทำให้ผิวหนังชั้นนอกของผิวเกิดการลอกออก เช่น กรดไตรคลอโรอะเซติก (Trichloroacetic Acid หรือ TCA) หากท่านใดที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการใช้ยา
- เอาหูดออก ในกรณีผู้ป่วยทีมีภูมิคุ้มกันบกพร่องจากเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อยู่ระหว่างการใช้ยาในการรักษา จำเป็นต้องรักษาโดยการเอาหูดออก เพราะอาจส่งผลให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมและรักษาได้ยากกว่าคนปกติทั่วไป
การป้องกันโรคหูดข้าวสุก
คือ การหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองสัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อโรคหูดข้าวสุกให้มากที่สุด โดยสามารถป้องกันเชื้อได้ ดังนี้
- หมั่นล้างมือ ด้วยน้ำ และสบู่ โดยเฉพาะหลังการจับสิ่งของที่เป็นส่วนรวม หรือสิ่งของสาธารณะ จะช่วยป้องกันและการแพร่กระจายของเชื้อได้ดี
- หลีกเลี่ยงการแคะ แกะเกา หรือสัมผัสบริเวณผิวหนังที่มีตุ่มอยู่แล้ว
- หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น ได้แก่ ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า หวี ที่โกนหนวด แปรงสีฟัน หรือแม้กระทั่งสบู่ก้อน
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หากมีหูดข้าวสุกบริเวณใกล้อวัยวะ เพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการโกนหนวดด้วยเครื่องโกนหนวดไฟฟ้าบริเวณที่ปรากฎตุ่ม
- รักษาความสะอาดบริเวณที่เป็นตุ่มเพื่อเป็นการป้องกันตัวของคุณเองรวมถึงผู้อื่นจากการสัมผัสและการแพร่กระจายเชื้อไวรัส
- ดูแลร่างกายให้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง
- ผู้ที่มีข้อสงสัยยังไม่สามารถหาคำตอบได้แน่ชัดว่าตนเป็นหูดข้าวสุกหรือไม่ สามารถเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์โรคผิวหนังได้เลย เพื่อความสบายใจทั้งสำหรับตนเองและคนรอบตัว
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
แม้ว่าโรคหูดข้าวสุกจะไม่มีอันตรายร้ายแรงมากนัก ซึ่งการรับรู้ และการเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับโรคหูดข้าวสุกจะช่วยให้คุณสามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาโรคได้อย่างเหมาะสม ทั้งสำหรับผู้ที่ติดเชื้อแล้ว และผู้ที่ยังไม่ได้รับเชื้อ รวมถึงผู้ที่มีข้อสงสัยว่าตนเป็นโรคหูดข้าวสุกหรือไม่ ซึ่งสามารถเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์โรคผิวหนังได้เลย เพื่อความสบายใจทั้งสำหรับตนเอง และคนรอบตัว