เลือกให้ชัวร์ ป้องกันให้ตรงจุด หยุดเอชไอวีได้จริง
|

เลือกให้ชัวร์ ป้องกันให้ตรงจุด หยุดเอชไอวีได้จริง

เอชไอวี (HIV) เป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลกที่ยังคงสำคัญ และส่งผลต่อสุขภาพ และชีวิตของผู้คนจำนวนมากทั่วโลก แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาวิธีการป้องกันเอชไอวีที่หลากหลาย และมีประสิทธิภาพสูงกว่าในอดีต ซึ่งแต่ละบุคคลสามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองได้ตามไลฟ์สไตล์ ความเสี่ยง และความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต

เลือกให้ชัวร์ ป้องกันให้ตรงจุด หยุดเอชไอวีได้จริง

ทำความรู้จักกับทางเลือกป้องกันเอชไอวีที่หลากหลาย

ถุงยางอนามัย (Condoms) 

Love2test

ถุงยางอนามัย ยังคงเป็นวิธีการป้องกันเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ได้รับความนิยม และถูกแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก เหตุผลที่ทำให้ถุงยางอนามัยเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมสูงคือ

  • ราคาถูก และเข้าถึงง่าย ถุงยางอนามัยสามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา คลินิก หรือหน่วยบริการทางการแพทย์ทั่วไป ทำให้เป็นวิธีที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด
  • ประสิทธิภาพสูง หากใช้อย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้สูงถึง 98-99%
  • ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ นอกจากเอชไอวีแล้ว ถุงยางอนามัยยังสามารถป้องกันโรคอื่น ๆ เช่น หนองใน ซิฟิลิส หูดหงอนไก่ และเริมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้อย่างถูกต้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

  • เลือกขนาดที่เหมาะสมกับตัวเอง
  • ตรวจสอบวันหมดอายุก่อนใช้ทุกครั้ง
  • เก็บถุงยางอนามัยในที่แห้ง และเย็น หลีกเลี่ยงแสงแดด และความร้อน
  • ใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำหรือซิลิโคนเท่านั้น หลีกเลี่ยงน้ำมันเพราะอาจทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพ
  • สวมใส่ถุงยางอนามัยก่อนการสัมผัสอวัยวะเพศ และถอดออกอย่างระมัดระวังหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมทางเพศ
  • ใช้ถุงยางอนามัยเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ควรนำมาใช้ซ้ำ
Love2test

ด้วยเหตุนี้ ถุงยางอนามัยจึงยังคงเป็นทางเลือกหลักในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมสำหรับทุกคน

ยาเพร็พ (PrEP)

ยาเพร็พ (PrEP หรือ Pre-Exposure Prophylaxis) คือ ยาต้านไวรัสที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนที่จะสัมผัสเชื้อ เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูง และได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ทั่วโลก ยาเพร็พ มีส่วนประกอบหลักคือยา Tenofovir และ Emtricitabine ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการขยายตัวของไวรัสเอชไอวีภายในร่างกายก่อนที่จะติดเชื้อจริง

ยาเพร็พ เหมาะกับใครบ้าง?

  • กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย
  • บุคคลที่มีคู่ครองหรือคู่เพศสัมพันธ์ที่ติดเชื้อเอชไอวี
  • บุคคลที่มีพฤติกรรมทางเพศเสี่ยงสูง เช่น มีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันเป็นประจำ

วิธีการใช้ยาเพร็พ

  • แบบรับประทานทุกวัน (Daily PrEP) รับประทานยาทุกวันในเวลาเดียวกันเพื่อรักษาระดับยาในเลือดให้คงที่ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันเอชไอวี
  • แบบเฉพาะกิจ (On-Demand PrEP) รับประทานยาก่อน และหลังการมีเพศสัมพันธ์ เหมาะกับผู้ที่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์เป็นประจำ แต่ต้องรับประทานตามคำแนะนำที่ชัดเจนจากแพทย์

ประสิทธิภาพของยาเพร็พ หากรับประทานอย่างถูกต้อง และสม่ำเสมอ ยา PrEP สามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีได้สูงถึง 99% อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของยาอาจลดลงหากรับประทานไม่สม่ำเสมอหรือขาดตอน

ข้อควรระวังในการใช้ยาเพร็พ

  • ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้งานเพื่อประเมินสุขภาพเบื้องต้น
  • ต้องมีการตรวจเลือดเป็นประจำเพื่อประเมินผลข้างเคียง และระดับการทำงานของไต
  • PrEP ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ จึงควรใช้ร่วมกับถุงยางอนามัย

ยาเป๊ป (PEP)

ยาเป๊ป (PEP หรือ Post-Exposure Prophylaxis) คือ วิธีป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีแบบฉุกเฉินที่ใช้หลังจากที่มีการสัมผัสเชื้อเอชไอวีโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น ถุงยางอนามัยแตก หลุด หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ยาเป๊ป ต้องเริ่มรับประทานภายใน 72 ชั่วโมง (3 วัน) หลังจากมีความเสี่ยง และควรเริ่มให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ ประสิทธิภาพในการป้องกันก็จะยิ่งสูงขึ้น

ขั้นตอนการรับยาเป๊ป

  • รับประทานยาครั้งแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ
  • รับยาอย่างต่อเนื่องทุกวันในเวลาเดียวกัน เป็นระยะเวลา 28 วัน เพื่อให้ยาออกฤทธิ์เต็มประสิทธิภาพในการป้องกัน
  • หากลืมรับประทานยาควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม

ใครที่เหมาะกับการใช้ยาเป๊ป?

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน หรือถุงยางอนามัยฉีกขาด
  • บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี
  • ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศหรือมีความเสี่ยงสูงอื่น ๆ

ข้อควรระวังในการใช้ยาเป๊ป

  • ควรปรึกษาแพทย์ทันทีหลังจากที่มีความเสี่ยง ไม่ควรรอนาน
  • ยาเป๊ป อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ซึ่งส่วนใหญ่อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ
  • ต้องติดตามผลเลือด และตรวจสุขภาพหลังการรักษาเพื่อประเมินประสิทธิภาพของยา
การฉีดยาป้องกันระยะยาว (Long-ActingInjectables)

การฉีดยาป้องกันระยะยาว (Long-Acting Injectables) 

การฉีดยาป้องกันระยะยาว หรือ Long-Acting Injectables คือ การใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีในรูปแบบฉีด ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนายารูปแบบใหม่ เช่น Lenacapavir และ Cabotegravir ซึ่งสามารถให้การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้ยาวนานหลายเดือนด้วยการฉีดยาเพียงครั้งเดียว

ลักษณะของ Long-Acting Injectables

  • Cabotegravir จะมีประสิทธิภาพป้องกันเอชไอวีได้นานประมาณ 2 เดือนต่อการฉีด 1 ครั้ง
  • Lenacapavir สามารถให้การป้องกันยาวนานได้ถึง 6 เดือนต่อการฉีด 1 ครั้ง

ข้อดีของการใช้ยาฉีดระยะยาว

  • ลดความเสี่ยงที่เกิดจากการลืมรับประทานยาทุกวัน
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย และมีวิถีชีวิตที่ยุ่งวุ่นวายหรือไม่เป็นประจำ
  • ลดภาระในการพกพายา และการจัดการเรื่องยาเป็นประจำ

ข้อควรระวัง และข้อจำกัด

  • ยาฉีดอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ายารับประทาน
  • อาจมีผลข้างเคียงบริเวณที่ฉีด เช่น อาการเจ็บ ปวด บวม แดงบริเวณที่ฉีด
  • ต้องฉีดยาโดยบุคลากรทางการแพทย์ในสถานพยาบาลเท่านั้น

เหมาะสำหรับใคร?

  • ผู้ที่ไม่สะดวกรับประทานยาทุกวัน หรือมีปัญหาการลืมรับประทานยา
  • ผู้ที่ต้องการทางเลือกที่สะดวกสบายกว่าในการดูแลสุขภาพระยะยาว

U=U (Undetectable = Untransmittable)

แนวคิด U=U (Undetectable = Untransmittable) เป็นหลักการสำคัญในการป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวี ซึ่งหมายถึง ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ และสม่ำเสมอ จนทำให้ระดับไวรัสในเลือดต่ำมากจนไม่สามารถตรวจพบได้ (Undetectable) จะไม่สามารถแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นผ่านทางเพศสัมพันธ์ (Untransmittable)

ลักษณะสำคัญของ U=U

  • ผู้ติดเชื้อต้องรับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ
  • ต้องมีการตรวจวัดระดับไวรัสในเลือดเป็นประจำ โดยแพทย์จะยืนยันผลการตรวจว่าระดับไวรัสต่ำจนตรวจไม่พบ
  • เมื่อถึงระดับที่ตรวจไม่พบอย่างสม่ำเสมอ ผู้ติดเชื้อจะไม่แพร่เชื้อให้กับคู่นอนหรือผู้อื่น

ประโยชน์ของแนวคิด U=U

  • ช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ลดการตีตรา และการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ
  • เพิ่มความมั่นใจในการดำรงชีวิต และความสัมพันธ์ของผู้ติดเชื้อ
  • ส่งเสริมให้ผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนอื่องเพื่อสุขภาพที่ดี

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ติดเชื้อในการรักษาสถานะ U=U

  • รับยาต้านไวรัสทุกวันอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์
  • เข้ารับการตรวจเลือดเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าระดับไวรัสยังคงต่ำมาก
  • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทันทีหากมีปัญหาในการรับยา หรือมีผลข้างเคียงที่รบกวนการรับประทานยา

แนวคิด U=U ถือเป็นก้าวสำคัญในการต่อสู้กับเอชไอวี และเป็นแนวทางที่สร้างความหวังใหม่ให้กับผู้ติดเชื้อ และสังคมในการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม และมีสุขภาพดี

ตารางเปรียบเทียบข้อดี และข้อเสียของทางเลือกป้องกันเอชไอวี

วิธีการข้อดีข้อเสีย
ถุงยางอนามัยราคาถูก หาซื้อได้ง่าย ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้หลากหลายต้องใช้อย่างถูกวิธีทุกครั้ง อาจแตกหรือเสียหายได้ ความรู้สึกขณะมีเพศสัมพันธ์อาจลดลง
ยาเพร็พ (PrEP)ประสิทธิภาพในการป้องกันสูงมาก ไม่รบกวนกิจกรรมทางเพศ ไม่ต้องกังวลเรื่องการใช้อุปกรณ์ต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอทุกวันหรือก่อนมีเพศสัมพันธ์ ค่าใช้จ่ายสูง ต้องตรวจสุขภาพ และติดตามผลเลือดเป็นประจำ
ยาเป๊ป (PEP)ป้องกันการติดเชื้อฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพหลังมีความเสี่ยงสูงต้องเริ่มยาให้เร็วที่สุดภายใน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ มีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องครบ 28 วัน
ฉีดยาป้องกันระยะยาวสะดวกสบาย ฉีดยาเพียงครั้งเดียวแต่ป้องกันได้นานหลายเดือน ลดภาระการจำรับประทานยาทุกวันมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า อาจมีผลข้างเคียงบริเวณที่ฉีด เช่น ปวด บวม หรือแดง ต้องเข้ารับบริการทางการแพทย์ในการฉีดยา
U=Uประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการแพร่เชื้อ ลดการตีตรา และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ติดเชื้อต้องรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องตลอดชีวิต ต้องตรวจสุขภาพ และวัดระดับไวรัสเป็นประจำ

เลือกทางเลือกป้องกันอย่างไรให้เหมาะกับคุณที่สุด? 

การเลือกทางเลือกในการป้องกันเอชไอวีควรพิจารณาหลายปัจจัยร่วมกันอย่างละเอียด ดังนี้

  • พิจารณาวิถีชีวิต ความสะดวกสบาย และกิจวัตรประจำวัน แต่ละบุคคลมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน บางคนสะดวกกับการทานยาทุกวัน แต่บางคนอาจลืมง่าย จึงเหมาะกับการฉีดยาระยะยาวแทน หรือบางคนมีความสบายใจกับการใช้ถุงยางอนามัยที่ไม่ต้องใช้ยาเลย
  • ประเมินระดับความเสี่ยงที่ตัวเองมีอยู่ ควรพิจารณาถึงพฤติกรรมทางเพศ เช่น จำนวนคู่เพศสัมพันธ์ รูปแบบเพศสัมพันธ์ สถานะคู่ครอง (เช่น คู่ติดเชื้อหรือไม่) และกิจกรรมที่อาจเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ การรู้ระดับความเสี่ยงจะช่วยให้เลือกวิธีป้องกันได้เหมาะสม
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือบุคลากรทางการแพทย์ การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน และเลือกวิธีป้องกันที่เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์ของตัวเอง

ข้อควรจำ ไม่ว่าวิธีป้องกันที่เลือกจะเป็นแบบไหน สิ่งสำคัญคือ การใช้วิธีนั้นอย่างถูกต้อง และสม่ำเสมอตามคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกัน

อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม

ทุกวันนี้เรามีทางเลือกที่หลากหลายในการป้องกันเอชไอวี ซึ่งทำให้ทุกคนสามารถออกแบบการป้องกันของคุณเองได้ ด้วยการเลือกวิธีป้องกันที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ สุขภาพดี และปลอดภัยจากเอชไอวี

เอกสารอ้างอิง

  • Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Preventing HIV with PrEP. ข้อมูลการใช้ PrEP เพื่อป้องกันเอชไอวี. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.cdc.gov/hiv/prevention/prep.html
  • World Health Organization (WHO). Consolidated guidelines on HIV prevention, testing, treatment, service delivery and monitoring. แนวทางรวมสำหรับการป้องกันเอชไอวี. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/publications/i/item/9789240031593
  • กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการให้บริการเพร็พในสถานบริการที่ดำเนินงานโดยชุมชน. ข้อมูลการใช้ยา PrEP ในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th/uploads/ckeditor2//files/Guideline.pdf
  • มูลนิธิเพื่อรัก (Love Foundation). Lenacapavir ยาตัวใหม่ ป้องกันเอชไอวีได้ยาวนาน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://lovefoundation.or.th/lenacapavir/
  • มูลนิธิเอดส์แห่งประเทศไทย (Thai Red Cross AIDS Research Centre). รายละเอียดการใช้ PrEP และการเข้าถึงยาในประเทศไทย. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก: https://th.trcarc.org/prep-pep-service/

Similar Posts